...
Ethereum เป็นบล็อคเชนที่ตั้งโปรแกรมได้ซึ่งมีสกุลเงินดิจิทัลหรือเหรียญที่เรียกว่า Ether ที่เป็นเงินดิจิทัลที่กระจายอำนาจซึ่งถูกแสดงโดย ETH เช่นเดียวกับ Bitcoin เนื่องจาก Ether ไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์กรหรือรัฐบาลใดๆ และสามารถใช้สำหรับการจัดเก็บมูลค่า, การชำระเงิน และการจัดหาหลักประกันได้ เมื่อผู้คนอ้างถึง Ethereum นั้นพวกเขากำลังพูดถึง Ether (ETH) และจริงๆ แล้วนั้น Ethereum blockchain มีความหมายเหมือนกันกับเหรียญของมันเอง
มันถูกเปิดตัวในกลางปี 2015 โดยนักเขียนโค้ดชาวรัสเซีย-แคนาดาชื่อ Vitalik Buterin จากนั้น Ether (ETH) ได้กลายมาเป็นคริปโตเคอเรนซี (crypto) ที่มีค่าที่สุดเป็นอันดับสองในแง่ของมูลค่าตลาดในเวลาเพียง 2 ปี และยังคงครองตำแหน่งนี้อยู่ในขณะที่เขียนบทความนี้ อีกทั้งบล็อกเชนของ Ethereum นั้นทรงพลังกว่ามาก เนื่องจากมีความสามารถในการตั้งโปรแกรมในตัว ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาสามารถใช้แพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) ได้
ทำไม Ethereum ถึงได้ถูกคิดค้นขึ้นมา
ในปัจจุบัน ข้อมูลดิจิทัลส่วนใหญ่ของเรา รวมถึงข้อมูลทางการเงินและข้อมูลประจำตัวส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน ได้ถูกจัดเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์บุคคลที่สาม ที่เป็นเจ้าของโดยกลุ่มบริษัทใหญ่และองค์กรต่างๆ เช่น Google, Microsoft, Amazon และ Facebook ซึ่งการรวมศูนย์การจัดเก็บข้อมูลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนี้ ช่วยให้องค์กรและรัฐบาลมีอำนาจเหนือพลเมืองเป็นอย่างมาก
วัตถุประสงค์หลักของ Ethereum นั้นรวมถึงการแทนที่ธนาคารออนไลน์ด้วยสกุลเงินที่กระจายอำนาจเช่น Ether และรวมถึงผู้ให้บริการบุคคลที่สามด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่ผู้คนเป็นเจ้าของโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน มันเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่มีทุกอย่างในตัว ตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลและการชำระเงิน ไปจนถึงระบบการเงินและแอปพลิเคชันบริการ ปัจจุบันมีนักพัฒนาหลายพันคนที่กำลังสร้างแอปโดยใช้ Ethereum ซึ่งรวมถึง:
- แอปพลิเคชันทางการเงินที่ให้คุณลงทุน, ให้ยืม หรือยืมสินทรัพย์และสกุลเงินดิจิทัลของคุณ
- ตลาดกระจายอำนาจที่คุณสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้
- เกมที่มีทรัพย์สินในเกมทั้งหมดอยู่ในความเป็นเจ้าของของคุณและยังสามารถสร้างรายได้จริงให้กับคุณได้อีกด้วย
- กระเป๋าเงิน Cryptocurrency ที่ช่วยให้คุณสามารถชำระเงินได้ทันทีและราคาไม่แพงด้วย Ether หรือสกุลเงินอื่นๆ
Ethereum ทำงานอย่างไรและมีเทคโนโลยีอะไรที่อยู่เบื้องหลัง
Ethereum ได้รับแรงบันดาลใจจากบล็อคเชนของ Bitcoin แต่มันมีความสามารถเพิ่มเติมสำหรับนักพัฒนาในการสร้างข้อตกลงและ dApps ด้วยเกณฑ์การเป็นเจ้าของที่แตกต่างกัน, ขั้นตอนเพิ่มเติม, รูปแบบธุรกรรมใหม่, หรือขั้นตอนมากมายในสถานะการโอน กล่าวคือมันใช้ภาษาการเขียนโปรแกรม Turing ที่สมบูรณ์ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ธุรกรรมบล็อคเชนสามารถกำหนด และทำให้ผลลัพธ์บางอย่างเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมักถูกเรียกว่า ‘สัญญาอัจฉริยะ’
นอกจากนี้ Ethereum ยังเป็นฐานข้อมูลที่ใช้ร่วมกันที่ประกอบด้วยประวัติการทำธุรกรรมที่สมบูรณ์ กับทุกโหนดที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายที่มีสำเนาของมันเช่นเดียวกับบล็อคเชน Bitcoin นอกเหนือจากธุรกรรมเหล่านี้ โหนดยังเก็บสถานะปัจจุบันของสัญญาอัจฉริยะทุกรายการไว้ทั้งหมด อีกทั้งเครือข่ายยังติดตามสถานะของสัญญาอัจฉริยะหรือแอปพลิเคชัน Ethereum ทุกรายการรวมถึงยอดคงเหลือที่ผู้ใช้แต่ละคนมี และแพลตฟอร์มจะใช้รูปแบบบัญชีธนาคาร เมื่อมีการทำธุรกรรมบน Ethereum blockchain ซึ่งธุรกรรมเหล่านั้นจะปรากฏในกระเป๋าเงินและสามารถโอนไปยังกระเป๋าอื่นได้อย่างง่ายดาย
Ether (ETH) สกุลเงินดิจิทัลของ Ethereum นั้นใช้โทเค็นที่เรียกว่า ERC-20 ซึ่งเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่มีการใช้งานมากที่สุดในอาณาจักรของการเข้ารหัสลับทั้งหมด โดยขณะนี้มีการขุดโดยใช้โปรโตคอล Proof of Work ซึ่งเป็นโปรโตคอลเดียวกันกับที่ใช้โดย Bitcoin อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อเสียของโปรโตคอล เช่น การใช้พลังงานที่มากเกินไป ทำให้ Ethereum blockchain จะได้รับการอัปเดต ETH 2.0 ในไม่ช้า ซึ่งจะเปลี่ยน Ethereum ให้เป็นฉันทามติตาม Proof of Stake นั่นเอง
Ethereum เป็นเงินจริงๆ ใช่หรือไม่
ไม่มีคำตอบที่แน่นอนสำหรับคำถามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ethereum ในแง่ของความสามารถส่วนตัวของมันเองนั้นเป็นมากกว่าสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก ซึ่งไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่จะแทนที่ธนาคารออนไลน์ทั่วไปและเกตเวย์การชำระเงินของบุคคลที่สามเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นประชาธิปไตยผ่านการเป็นเจ้าของร่วมกันของบริการดิจิทัลและการจัดเก็บข้อมูล อีกทั้งมีผู้ค้ามากกว่า 100 รายที่ยอมรับ Ether เพื่อใช้เป็นโหมดการชำระเงินนั้น ได้แก่ CryptoPet, Peddler.com, eGifter, FlokiNET, Overstock, PizzaForCoins และอีกมากมาย
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่าง Bitcoin และ Ethereum คือเป็นทางเลือกของสกุลเงินดิจิทัลโดยเฉพาะในอดีต อย่างไรก็ตาม Ether เป็นโทเค็นที่มีอยู่เพื่อขับเคลื่อนยูทิลิตี้ในตัวของเครือข่าย ซึ่งรวมถึง dApps, สัญญาอัจฉริยะ, ธุรกรรม และองค์กรอิสระที่กระจายอำนาจ (DAO) ดังนั้นภายในระบบนิเวศบล็อคเชน ERC-20 นั้น Ether จึงทำหน้าที่เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด นอกจากนี้ยังใช้บ่อยที่สุดในการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ปัจจุบัน Ethereum ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสกุลเงินมากเท่าที่ควร
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของ Ethereum
ในขณะที่เขียนบทความนี้ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเฉลี่ยของ Ethereum อยู่ที่ $0.4492 ต่อธุรกรรม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 150% จากปีที่แล้วที่ค่าธรรมเนียมเคยอยู่ที่ $0.17 ต่อธุรกรรมเท่านั้น ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยถูกคำนวณเป็น USD เมื่อผู้ขุดดำเนินการและยืนยันธุรกรรม และอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากความแออัดของเครือข่ายหรือความต้องการหลักฐานการทำงานที่สูง ในช่วงกลางปี 2018 เมื่อคริปโตเคอเรนซี่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อัตราการทำธุรกรรมเฉลี่ยของ Ethereum ก็แตะระดับสูงสุดที่ $3.00
นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากบริการคริปโตเคอเรนซี่ต่างๆ รวมถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายนั้นจะแตกต่างกันไปตามเปอร์เซ็นต์และโครงสร้าง โดยส่วนใหญ่แล้ว การซื้อและขายแบบมาตรฐานผ่านการฝากเงินด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารจะทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 0.5% ถึง 2% ในขณะที่การซื้อทันทีโดยใช้บัตรเดบิตนั้นคุณอาจจะได้คืนระหว่าง 3% ถึง 7% ในทำนองเดียวกันกับการโอนเงินผ่านธนาคาร อาจมีค่าธรรมเนียมคงที่ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังฝากหรือถอนเงินของคุณ อย่างที่กล่าวไปนั้น โครงสร้างราคาไม่เพียงแต่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายประการ เช่น วิธีการชำระเงินและที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
Ethereum มีประโยชน์อย่างไร
Ethereum นำเสนอประโยชน์ทั้งหมดของบล็อกเชนแบบเดิม พร้อมด้วยข้อดีที่เป็นเอกลักษณ์บางประการ ได้แก่:
- ความไม่เปลี่ยนรูป – แต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Ethereum blockchain นั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่ข้อมูลได้รับการประมวลผล, ยืนยัน, และเขียนแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งช่วยทำให้ Ethereum เกือบจะไม่สามารถแฮ็กได้เลย
- กระจายอำนาจ – ปัจจุบัน Ethereum ใช้กลไกฉันทามติเพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจกลาง หรือคนกลาง เนื่องจากสัญญาอัจฉริยะที่ใช้ Ethereum blockchain สามารถดำเนินการได้เอง
- ธุรกรรมที่รวดเร็ว – บล็อกเชนใช้กระบวนการอัตโนมัติเพื่อรับรองความถูกต้องของธุรกรรม แทนที่จะผ่านการตรวจสอบด้วยตนเองและขั้นตอนการตรวจสอบ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เร็วขึ้นมากเท่านั้นแต่ยังมีราคาที่ไม่แพงอีกด้วย
- เชื่อถือได้สูง – Ethereum มีมานานกว่า 5 ปีแล้ว โดยมีการสร้างและเรียกใช้แอปพลิเคชันใหม่บนบล็อกเชนโดยไม่ผ่านอุปสรรคใดๆ เช่น การฉ้อโกง, การรบกวนจากบุคคลที่สาม, การเซ็นเซอร์, และเวลาหยุดทำงาน เป็นต้น
- ตั้งโปรแกรมได้ – หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของ Ethereum คือสามารถตั้งโปรแกรมได้และนักพัฒนาสามารถใช้เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่กระจายอำนาจได้ ซึ่งอาจรวมถึงบริการทางการเงิน, เกม, สัญญาอัจฉริยะ และอื่นๆ
สามารถใช้ Ethereum โดยไม่ระบุตัวตนได้หรือไม่
ค่อนข้างเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร เพราะสิ่งที่มักจะถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งบนอินเทอร์เน็ตว่าข้อดีประการหนึ่งของบล็อคเชน คือการไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ใช้ แต่ก็มีความจริงอยู่บ้างบางประการ การรักษาความเป็นนิรนามโดยสมบูรณ์โดยใช้ Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ นั้นกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น แพลตฟอร์มการซื้อขาย crypto ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับส่วนใหญ่ ต้องการให้คุณผ่านกระบวนการตรวจสอบตัวตนส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด เพื่อลดการฟอกเงินและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่นๆ
ในทางกลับกัน แม้ว่าจะมีโปรโตคอลที่ไม่เปิดเผยตัวตนอยู่บ้าง แต่คุณก็สามารถถูกติดตามผ่านรอยเท้าดิจิทัลที่คุณทิ้งไว้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่ข้อมูลที่เขียนบนบล็อกเชนได้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดเผยชื่อหรือรายละเอียดส่วนบุคคลอื่นๆ ก็ตาม ข้อมูลเมตาและข้อมูลเชิงบริบทอื่นๆ ก็สามารถนำไปสู่อัตลักษณ์ส่วนบุคคลของคุณได้อยู่ดี นี่คือเหตุผลที่เงินสดยังคงเป็นโหมดการชำระเงินที่ไม่เปิดเผยตัวตนมากที่สุดแม้กระทั่งทุกวันนี้
Ethereum มีความปลอดภัยเพียงใด
thereum มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน Ethereum นั้นปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสลับ และ Ethereum มีโหนดมากกว่าสามเท่าเพื่อตรวจสอบธุรกรรมแต่ละรายการเมื่อเทียบกับ Bitcoin โดยที่ความพยายามในการแฮ็กและการโจมตีทางไซเบอร์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ Ethereum นั้นมีเป้าหมายอยู่ที่สัญญาอัจฉริยะที่เขียนไม่ดีโดยนักพัฒนา มากกว่าจะเป็นที่บล็อกเชนเอง โดยปัจจุบันแพลตฟอร์มกำลังย้ายไปยังโปรโตคอล Proof of Stake ทำให้บล็อกเชนจะมีความปลอดภัยที่มากขึ้น
ทีมใดที่กำลังทำงานในการพัฒนา Ethereum
ปัจจุบันโครงการที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Ethereum blockchain คือ ETH 2.0 ซึ่งนำโดย Raul Jordan ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในบล็อกเชน รวมถึงการเปลี่ยนจาก Proof of Work (PoW) เป็นโปรโตคอล Proof of Stake (PoS) รวมถึงทีมของ Raul มีทั้งหมด 8 ทีมที่ทำงานในโครงการ Ethereum ต่างๆ ทั่วโลก ดังนี้
PegaSys
นำโดย Faisal Khan ที่เป้าหมายหลักของทีมนี้คือการนำองค์กรต่างๆ มาสู่ Ethereum blockchain โดยการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทรงพลังและน่าสนใจซึ่งมีราคาจับต้องได้ ง่ายขึ้น และสะดวกในการปรับให้เข้ากับธุรกิจประเภทต่างๆ
ChainSafe
เป็นการทำงานจาก Toronto ซึ่ง ChainSafe เป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาที่ให้คำปรึกษาด้านบล็อกเชนแก่โครงการต่างๆ ที่ใช้ Ethereum เช่น Polymath, Aion, Shyft และ Bunz ที่นำโดย Mikerah Quintyne-Collins
Parity Technologies
เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาลูกค้า Parity Ethereum ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองบนบล็อกเชน ถือว่าเป็นหนึ่งในไคลเอนต์ Ethereum ที่ก้าวหน้าและรวดเร็วที่สุด
Harmony
ทีมนี้ได้รับเงินอุดหนุนจากมูลนิธิ Ethereum เพื่อสร้างข้อกำหนดที่สมบูรณ์สำหรับการอัพเดท Ethereum 2.0 โดยทีมงานทำงานภายใต้ GPL หรือใบอนุญาตสาธารณะทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งานโค้ดทั้งหมดยังคงไม่มีค่าใช้จ่าย
Prysmatic Labs
ด้วยการใช้ภาษาการเขียนโปรแกรม Go นั้นทีมนี้ได้สร้างตัวแปรแรกของ Ethereum 2.0 ขึ้นมา และกำลังให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ blockchain เพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถในการปรับขนาดได้อย่างยั่งยืน มันถูกนำทีมโดย Raul Jordan
Trinity
เป็นไคลเอนต์ Ethereum ที่ใช้ Python ในปัจจุบันซึ่งมีนักพัฒนาหกคนที่ทำสัญญากับ Ethereum Foundation ออีกทั้งทีมงานกำลังทำงานเพื่อสร้างการสนับสนุนสำหรับข้อกำหนดของ Ethereum 2.0
Status
เป็นอีกทีมหนึ่งที่ได้รับทุนจากมูลนิธิ Ethereum เพื่อพัฒนาเบราว์เซอร์มือถือ และแพลตฟอร์มการส่งข้อความเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อให้แน่ใจว่ามันมีการนำมาใช้เป็นจำนวนมาก โดยเพิ่มประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ที่มีทรัพยากรน้อย
Sigma Prime
Sigma Prime ได้รับเงินอุดหนุนจากมูลนิธิ Ethereum มันเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและความปลอดภัยของข้อมูล ที่ได้รับมอบหมายให้พัฒนาไคลเอนต์ Ethereum 2.0 ที่มีชื่อว่า Lighthouse
สถาบันการเงินใดที่ใช้ Ethereum
มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่อยู่เบื้องหลัง Ethereum โดยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Enterprise Ethereum Alliance ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและบริษัททางการเงินมากมาย เช่น ING, MasterCard, Credit Suisse, JP Morgan และอื่นๆ เมื่อเร็วๆ นี้ Natixis Investment Managers, Clearstream, Credit Suisse และ Luxembourg Stock Exchange ได้ประกาศว่าพวกเขาจะระดมทุนรอบ Series-A สำหรับ FundsDLT สตาร์ทอัพที่ใช้ Ethereum
การขุด Ethereum
ขั้นตอนการขุดของ Ethereum นั้นค่อนข้างคล้ายกับ Bitcoin ซึ่งมีบล็อกของธุรกรรมที่ต้องใช้พลังในการคำนวณเพื่อค้นหาโซลูชันที่เหมาะสม ในแง่ของเทคนิคแล้วนั้น เมตาดาต้าเฉพาะของบล็อกถูกเรียกใช้โดยนักขุดโดยใช้ฟังก์ชันแฮช (hash function) ซึ่งส่งคืนสตริงอักขระที่มีความยาวคงที่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแบบสุ่ม เมื่อนักขุดพบแฮชที่เหมาะกับเป้าหมาย เขาจะได้รับโทเค็น Ether และแต่ละโหนดจะตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมและอัพเดตฐานข้อมูล เมื่อนักขุดพบแฮชที่เหมาะสม นักขุดคนอื่นๆ ทั้งหมดจะเริ่มขุดบล็อกอื่นๆ เป็นต้น
กระเป๋าเงินสำหรับ Ethereum
กระเป๋าเงิน Ethereum เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้เก็บโทเค็น Ether ซึ่งมีให้เลือกมากมายตามความต้องการของคุณ ดัวอย่างเช่น:
- MetaMask – กระเป๋าเงินบนเบราว์เซอร์และกระเป๋าเงินมือถือ
- TrustWallet – กระเป๋าเงินมือถือ
- MyCrypto – กระเป๋าเงินบนเว็บ
- Argent – กระเป๋าเงินมือถือ
- MyEtherWallet – กระเป๋าเงินฝั่งไคลเอ็นต์
- Gnosis Safe – กระเป๋าเงินแบบใช้หลายลายเซ็นเพื่อเน้นความปลอดภัย
- Coinbase Wallet – กระเป๋าเงินมือถือ
หากคุณกำลังมองหากระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์อยู่นั้น ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นตัวเลือกที่ดี Ledger Nano S, KeepKey และ Trezor
Ethereum คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
Cryptocurrencies โดยทั่วไปรวมถึง Ethereum มีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนสูงซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงและการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยราคาอาจเพิ่มขึ้นและลดลง 20-50 เปอร์เซ็นต์ภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งอาจเป็นโอกาสและเป็นคำเตือน
ด้วยเหตุนี้ หากคุณต้องการลงทุนใน Ethereum นั้น เราขอแนะนำให้คุณใช้การตรวจสอบ, วิเคราะห์สถานะ และลงทุนเฉพาะสิ่งที่คุณจะเสียได้เท่านั้น ด้วยการทำงานที่ทุ่มเทเพื่อสร้าง Ethereum แล้วนั้น สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่ามันจะคงอยู่ต่อไป และในความเป็นจริงคือ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในปัจจุบันเชื่อว่าเมื่อเทียบกับ Bitcoin แล้วนั้น Ethereum นั้นถูกประเมินค่าต่ำเกินไปและมันมีศักยภาพที่มากมาย อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการลงทุน มันไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันได้เลย